การศึกษาในศตวรรษที่ 21
การสังเคราะห์องค์ความรู้
เรื่อง “การศึกษาในศตวรรษที่ 21”
โลกแห่งการศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
การศึกษาเป็นการสร้างความรู้ ความสามารถ และพัฒนาศักยภาพของคน
ได้แก่การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
โดยให้โอกาสแก่ผู้เรียนทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ เพิ่มพูนสติปัญญา ประสบการณ์
ตลอดจนพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยปราศจากข้อจำกัด
ทั้งระดับสติปัญญา ความสามารถในการรับรู้ และอื่นๆ
อีกทั้งยังหวังว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับ เวลา
และสถานที่ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดทั้งในการแก้ปัญหา
วิเคราะห์ และสังเคราะห์ความรู้ ในทุกระดับ ในลักษณะที่เรียกว่า Coustructionism
1. แนวคิด
ทฤษฎีการศึกษาในอนาคต
รูปแบบและทฤษฎีการเรียนรู้แห่งอนาคตเป็นรูปแบบการเรียนรู้
ใน 3
ลักษณะ ได้แก่
1.การเรียนรู้ในลักษณะที่มีครูผู้สอนเป็นศูนย์กลางกระบวนการเรียนรู้เกิดการถ่ายทอดจากผู้สอนสู่ผู้เรียน
2.การเรียนรู้ในลักษณะที่เน้นความร่วมมือกัน
กระบวนการเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งผู้เรียนกับผู้เรียน
ผู้เรียนกับผู้สอน และ/หรือชุมชนของการเรียน
3.การเรียนรู้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับลักษณะที่สอง
แต่มีการจัดสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ต่างๆ เพิ่มเติม เช่น ทรัพยากรการเรียนรู้ แหล่งสื่อต่างๆทั้งในรูปแบบดิจิตตัล
และไม่ใช่ดิจิตัล
รวมถึงการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่สร้างฐานความรู้ให้แก่ผู้เรียน (Knowledge
scaffolding)
แนวโน้มของรูปแบบการเรียนรู้ในอนาคตนั้น
ได้แก่ การผสมผสานระหว่างรูปแบบการเรียนรู้ทั้ง 3 ลักษณะอย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญ ได้แก่ ความพยายามของครูผู้สอน
(และผู้เรียน) ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีกรสอนและการเรียนรู้จากรูปแบที่ 1
มาสู่รูปแบบที่ 2 และ 3 ให้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการสอนและการเรียนรู้ในลักษณะที่
3 นั้นเป็นรูปแบบที่ครูผู้สอนจำเป็นต้องให้ความสนใจ
เพราะมีหลักฐานงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนว่า
เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากหากผู้สอนมีการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน
พร้อมไปกับการจัดหาทรัพยากรการเรียนรู้
และการสร้างฐานความรู้ให้กับผู้เรียนที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี
การจัดรูปแบบการเรียนรู้ในลักษณะที่ 3 นั้น
ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะด้านไอซีทีที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการพัฒนาสื่อ
การจัดหาแหล่งเรียนรู้ต่างๆให้กับผู้เรียน
ดังนั้นการพัฒนาทักษะด้านไอซีทีแก่ผู้สอน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต
สำหรับผู้เรียนนั้น ทักษะทางด้านไอซีทีอาจไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล
เพราะผู้เรียนในอนาคต จะสามารถปรับตัวเข้ากับรูปแบบการเรียนรู้ในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว(กว่าผู้สอน)เนื่องจากความเคยชินจากสังคมรอบตัวที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา
ในการพัฒนาทักษะครูผู้สอนด้านไอซีทีนั้น
นอกจากในการอบรมทักษะให้ครูผู้สอนสามารถสร้างและ/หรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและเนื้อหาการเรียนรู้ในรูปดิจิตัลแล้ว
ครูผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้
ศักยภาพของการนำไอซีทีไปใช้ในลักษณะของเครื่องมือ (Tool) การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งเน้นผู้เรียนทักษะกระบวนการคิด
ของผู้เรียนตัวอย่าง เช่น การใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือที่ให้ผู้เรียน เพื่อน
และผู้สอน เกิดการปฏิสัมพันธ์ อภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิพากษ์อย่างยืดหยุ่น
โดยไม่จำกัดด้านเวลาและสถานที่ หรือ
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ที่เน้นทักษะกระบวนการคิดผ่านทางการใช้ไอซีที
เช่นการสรุปความคิดรวบยอด โดยใช้ซอฟต์แวร์ช่วยการวางแผน หรือ
การคิดวิเคราะห์ข้อมูลด้านต่างๆ จากโปรแกรมฐานข้อมูลด้านต่างๆ เป็นต้น
1.ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญของอนาคต
ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึง
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญในอนาคต 3 ทฤษฎี
1) การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
2) การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
(Brain-based Learning)
3) ทฤษฎีคอนสตัคติวิสต์
(Constructivism)
1.1 การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎี การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน
เกิดจากแนวคิดที่ว่า การเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการเรียนจาก
ครูผู้สอนเท่านั้น หากเกิดจาก
การที่ผู้เรียนร่วมมือกับผู้สอนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง กับเพื่อน หรือกับชุมชนการเรียนรู้ของตน
ภายใต้เป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน ตาราง 1 เปรียบเทียบทฤษฎีการเรียนรู้แบบดั้งเดิม
กับ การเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
โดยครูผู้สอนที่ดีควรต้องรู้จักผสมผสานระหว่างทั้ง 2 ทฤษฎี /
วิธีการให้มากขึ้นหลีกเลี่ยงการสอนที่มุ่งเน้นเฉพาะลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
รวมทั้งตะหนักว่า แนวโน้มของทฤษฎี การเรียนรู้ในอนาคตนั้น
จะอยู่ในลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การเปรียบเทียบการสอนแบบดั้งเดิม
และการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
|
|
การสอนแบบดั้งเดิม
|
การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
|
สิ่งแวดล้อมที่ครูเป็นศูนย์กลาง
|
สิ่งแวดล้อมที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
|
ครูเป็นผู้ควบคุมการเรียนการสอน
|
ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง
|
การเปรียบเทียบการสอนแบบดั้งเดิม
และการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
|
|
การสอนแบบดั้งเดิม
|
การเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
|
ส่วนใหญ่อำนาจและความรับผิดชอบอยู่ที่ครู
|
ส่วนใหญ่อำนาจและความรับผิดชอบอยู่ที่ผู้เรียน
|
ครูเป็นผู้สอนและผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนรู้
|
ครูเป็นผู้สนับสนุนและคอยแนะนำ
ผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนรู้
|
ธรรมชาติของประสบการณ์การเรียนบ่อยครั้งอยู่ในลักษณะของการแข่งขันระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
ผู้เรียนจะไม่พอใจหากผู้เรียนคนอื่นลอกเลียนแบบ (copy)
ความคิดของตนเอง
|
การเรียนรู้อาจอยู่ในลักษณะเป็นกลุ่ม(ร่วมมือกันหรือโดยอิสระก็ตาม)ผู้เรียนทำงานด้วยกันเพื่อเป้าหมายร่วมกันผู้เรียนเต็มใจที่จะช่วยซึ่งกันและกันในการแลกเปลี่ยนทักษะและแนวคิดผู้เรียนแข่งขันกับความสามารถเดิมของตน
|
ลักษณะของงานอยู่ในรูปของชุดของภาระงานย่อยๆที่ผู้สอยกำหนดให้ภายใต้สาระวิชี่แยกออกจากกันค่อนข้างชัดเจน
|
ลักษณะของงานอยู่ในรูปของโครงงานหรือโจทย์ปัญหาจากสภาพจริงและมีการบูรราการสาระวิชาต่างๆเข้าด้วยกัน
|
การเรียนรู้เกิดขึ้นในชั้นเรียน
|
การเรียนรู้ขยายขอบเขตจากชั้นเรียนออกไป
|
เนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
|
สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่กระบวนการที่ผู้เรียนเกิดการประมวลผลข้อมูลสารสรเทศและการนำผลที่ได้จากการวิเคราะห์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
|
ผู้เรียนได้รับความรู้จากการฝึกและการปฏิบัติ
|
ผู้เรียนประเมินตัดสินใจและรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองผู้เรียนได้รับความรู้โดยการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
|
การเรียนรู้เนื้อหาไม่จำเป็นต้องเดขึ้นตามบริบท
|
การเรียนรู้เนื้อหาการเรียนเกิดขึ้นในบริบทที่เกี่ยวข้อง
|
ตาราง 1
ตารางเปรียบเทียบการสอนแบบดั้งเดิมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
1.2 การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
(Brain-based Learning)
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน
เป็นทฤษฎีซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ว่า
คนเกิดมาพร้อมกับจำนวนเซลสมองที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
การขยายตัวของสมองไม่ได้เกิดจากการเพิ่มจำนวนเซลของสมอง แต่มาจาก “ใยประสาท”
สมองของคนเรานั้น มีความยืดหยุ่น หากเราใช้สมองในการแก้ไขปัญหา
สมองก็จะมีการสร้างใยประสาทเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ใช้ใยประสาทก็จะถูกทำลายลง
ในการประยุกต์ทฤษฎีนี้สู่การปฏิบัตินั้น
คงต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สมองกับการเรียนรู้ กล่าวคือ
สมองมีการเชื่อมโยงกับอารมณ์ของคน ในขณะที่อารมณ์ของคนก็จะส่งผลต่อการเรียนรู้
โดยอารมณ์เป็นตัวช่วยเราในการเรียกความทรงจำเดิมที่เก็บไว้ในสมองออกมาใช้สำหรับภาวะของสมองที่เหมาะสมที่สุดของการเรียนรู้
ได้แก่ ภาวะของสมองที่มี ความตื่นตัวแบบผ่อนคลาย (Relaxed
alertness) ดังนั้นครูผู้สอนจึงมีหน้าที่สร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะที่ทันสมัย
เพลิดเพลิน แต่ท้าท้ายและชวนให้หาคำตอบ
เพื่อนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัวแบบผ่อนคาย มากกว่าความรู้สึกเครียด กังวลและกดดัน
เพราะสิ่งแวดล้อมดังกล่าว อาจทำให้เกิดผมลัพธ์การเรียนรู้ทางลบแก่ผู้เรียนได้
รวมทั้ง แนวคิดที่สำคัญจากทฤษฎีการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐาน ได้แก่
การที่การเรียนรู้ของคนจะประสบความสำเร็จเมื่อกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์ของประสบการณ์ของผู้เรียนที่เป็นรูปธรรมและสามารถจับต้องได้
เพราะคนเราจะจำสิ่งต่างๆได้แม่นยำที่สุดเมื่อข้อเท็จจริงต่างๆและทักษะฝังอยู่ในจากกิจกรรมในชีวิตจริงตามธรรมชาติ
เพราะเป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ตรง
นอกจากนี้
จากการแบ่งสมองออกเป็นสองด้าน คือ สมองซีกซ้ายสั่งการเกี่ยวกับ ตรรกะ ตัวเลข
การวิเคราะห์ และสมองซีกขวาซึ่งสั่งการเกี่ยวกับศิลปะ ดนตรี จินตนาการ
การสังเคราะห์ทำให้เราเข้าใจถึงความสามารถที่แตกต่างกันของการทำงานของสมองทั้งสองซีกของผู้เรียน
ซึ่งส่งผลถึงการมีสติปัญญา วิธีการ และประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการที่ผู้สอนควรมีการจัดหากิจกรรมที่บูรณาการระหว่างกิจกรรมหลายๆ
รูปแบบเข้าด้วยกันและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้เลือกที่จะทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งตามความสามารถ
ความถนัดและความสนใจ เช่น
การให้เลือกที่จำนำเสนอผลงานในรูปแบบที่ผู้เรียนมีความถนัด เช่นแต่งเรื่อง
แต่งเพลง เล่นดนตรี ผลิตสื่อนำเสนอ ทำรายงาน เป็นต้น นอกจากนี้
ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ตามอัตราความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของผู้เรียน
1.3ทฤษฎีคอนสตัคติวิสต์ (Constructivism)
ทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตัคติวิสต์
เกิดจากแนวคิดที่ว่า การเรียนรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือ
กระทำ และสร้างสรรค์ผลงานมากกว่า
การเรียนเชิงรับของผู้เรียนจากการถ่ายทอดของครูผู้สอน
การลงมือกระทำและสร้างสรรค์ผลงานนั้นเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้นั้นๆ
อย่างกระตือรือร้นจนกระทั้งผู้เรียนเกิดการสร้างความหมาย ความเข้าใจและในที่สุดสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาด้วยตนเอง
องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ผู้เรียนสามารถสร้างให้เกิดขึ้นเองและเป็นสิ่งเฉพาะตัว
ดังนั้นการเรียนตามแนวคอมสตัคติวิสต์จึงถือเป็นการเรียนรู้ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ไม่ใช่ครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีคอนสตัคติวิสต์จะมุ่งเน้นการสำรวจ
การแสวงหาความรู้ การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์
และการคิดแก้ปัญหาด้วยตนเองผ่านทางกิจกรรมที่ใกล้เคียง
หรือเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงๆ
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้จากชั้นเรียนไปสู่สถานการณ์จริงได้
นอกจากนี้ คอนสตัคติวิสต์จะเน้นการเรียนในลักษณะร่วมมือ กล่าวคือ
ผู้เรียนจะต้องสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับผู้เรียนอื่นๆ ในการสร้างงานต่างๆร่วมกัน
สำหรับการประเมินผลตามแนวคอนสตัคติวิสต์นี้
จะเน้นการให้ผู้เรียนรู้จักการประเมินผลความก้าวหน้าการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ร่วมไปกับการที่ผู้สอนจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในขณะทำกิจกรรม
รวมทั้งประเมินจากพอร์ทโฟลิโอซึ่งได้แก่ ชิ้นงานต่างๆ
ที่ผู้เรียนได้มีการรวบรวมไว้
ซึ่งชิ้นงานดังกล่าวจะต้องสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน อันที่จริง
คอนสตัคติวิสต์ ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด เพราะเกิดขึ้นมากกว่า 10 ปีแล้ว
แต่ผลของการนำไปใช้ในสถาบันการศึกษาในบ้านเรานั้น ยังค่อนข้างจำกัด
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะข้อจำกัดในด้านต่างๆ เช่น ขนาดของชั้นเรียน
ภาระงานของครูผู้สอน ตัวอย่างการปฏิบัติที่ดี เป็นต้น
จากการที่ได้กล่าวมานั้น
จะเห็นได้ชัดว่า ทฤษฎี/รูปแบบการเรียนรู้ทั้งหมด
ที่ได้กล่าวถึงนั้นมีความคาบเกี่ยวกันอยู่มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎี/รูปแบบการเรียนรู้ในอนาคตเกือบทั้งหมดจะมุ่งเน้น
ในด้านการเรียนรู้ในลักษณะร่วมมือและผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
รวมทั้งการใช้สื่อที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สื่อไอซีที อย่างไรก็ตาม
แต่ละรูปแบบ/ทฤษฎีนั้น ก็จะมีข้อแตกต่างในรายละเอียดบางประการ ตัวอย่างเช่น
การมุ่งเน้นในเรื่องการสร้างทำ สร้างองค์ความรู้/ชิ้นงานของทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์
หรือการมุ่งเน้นในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายสำหรับผู้เรียน
อันเนื่องมาจากความแตกต่างในด้านของสติปัญญา
วิธีการและประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งเป็นผลจากการทำงานของสมอง เป็นต้น
สรุป
จากที่กล่าวมาได้นำเสนอรูปแบบและทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคสมัยหน้า
ซึ่งมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบร่วมมือกันของผู้เรียน ภายใต้การที่ผู้สอนวางฐานความรู้
(Knowledge
scaffolding) ให้กับผู้เรียนอย่างเหมาะสม
ผ่านการใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ รวมทั้ง มุ่งเน้น
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้สอน
ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์ของผู้เรียนที่เป็นรูปธรรมและสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้จากชั้นเรียนไปสู่สถานการณ์จริงได้
เอกสารอ้างอิง
จำเริญ จิตรหลัง. (2549). ปัจจัยการจัดการความรู้กับองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา.
วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. 2(ก.ค.- ธ.ค.): 200 – 219.
ประเวศน์ มหารัตน์สกุล. (2548). การพัฒนาองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลง. กรุงเทพมหานคร:
วิทยไพบูลย์ พริ้นท์ติ้ง.
วรภัทร์ ภู่เจริญ. (2547). องค์กรแห่งการเรียนรู้และการบริหารความรู้. กรุงเทพมหานคร:
สามลดา.
วิจารณ์ พานิช และประพนธ์ ผาสุขยืด. (2550). การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาองค์กรอัจฉริยะ. กรุงเทพมหานคร:
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม.
วิโรจน์ สารรัตนะ. (2544). โรงเรียน : องค์การแห่งการเรียนรู้
กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: อักษราพิพัฒน์.
วิโรจน์ สารรัตนะและอัญชลี สารรัตนะ. (2545). ปัจจัยทางการบริหารกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้.
กรุงเทพมหานคร: อักษราพิพัฒน์.
วีรวุธ มาฆะศิรานนท์. (2542). องค์กรเรียนรู้สู่องค์กรอัจฉริยะ.
กรุงเทพมหานคร: เอ็กซเปอร์เน็ท.
สมชาย เทพแสง. (2547). “โรงเรียนแห่งการเรียนรู้ (Learning
School) กุญแจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน.”
วารสารวิชาการ 2(เมษายน – มิถุนายน): 10 – 16.
วิโรจน์ สารรัตนะ.(2556).กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา
กรณีทัศนะต่อการศึกษาศตวรรษที่ 2. กรุงเทพมหานคร: ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)
วิชัย
ตันศิริ. (2549).อุดมการณ์ทางการศึกษา ทฤษฎีและภาคปฏิบัติ.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น